"เบบี้บูม" หรือ"เบบี้ บูมเมอร์" หรือถ้าเรียกให้ทันสมัยสุดๆ ก็คือ
"Gen B" (Baby Boom Generation-Generation B)
เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2490-2508 ที่ปัจจุบันจะ
มีอายุอยู่ในระหว่าง 45-63 ปี
กลุ่มคนยุคนี้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคแห่งการผลิตประชากร
"เบบี้" จึงเกิดขึ้นแบบ "บูม" ไปทั่วโลก
"Gen-X" (Generation X) เป็นลูกหลานของ Gen B
ที่เกิดระหว่าง 2508-2522 ตอนนี้จะมีอายุอยู่ที่ 30-44 ปี
คนกลุ่มนี้เรียกได้อีกอย่างว่า Yuppie (Young Urban Professionals)
เพราะเกิดมาพร้อมกับความมั่งคั่งของโลก จึงมีความคิดกว้าง มีพฤติกรรมง่ายๆ
สบายดี ให้ความสำคัญในเรื่องงาน และครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน
"Gen-Y" (Generation Y) คนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2543
อายุ 9-29 ปี เป็นลูกเป็นหลานของสองกลุ่มข้างต้น
กลุ่มนี้มีค่านิยมที่เปลี่ยนไป ด้วยเติบโตมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
ทั้งจากค่านิยมที่แตกต่างจากรุ่นปู่ย่าตายายกับรุ่นพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ก้าวไป
พร้อมๆ กับเทคโนโลยีที่เจริญรุดหน้าทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และไอที
มีคนกล่าวว่า ด้วยความสับสนและซับซ้อนที่คนกลุ่มนี้ต้องรับ จึงตั้งคำถามอย่าง
งงๆ ถึงตัวเองว่า Why me ? คนกลุ่มนี้จะเป็นตัวของตัวเองสูง
ไม่ชอบมีเงื่อนไข และไม่อยู่ในกรอบ ชอบการสื่อสารแบบไม่เผชิญหน้า
ขณะเดียวกันก็ชอบความชัดเจนในเป้าหมาย
"Gen-Z" (Generation Z) กลุ่มอายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน
เป็นผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน หรืออายุ 1-16 ปี
ในเจเนอเรชั่นนี้จะเป็นช่วงที่คน เกิดใหม่น้อยลง ขณะเดียวกันก็จะเติบโตขึ้น
ท่ามกลางการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูงมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ยุคทั้ง 4
ไม่เพียงแต่จะมีความต่างทางด้านสังคม ความคิดแล้ว
เรื่องของการดำรงชีวิต และอาหารการกินยังแตกต่างออกไป จึงทำให้ในแต่ละ
เจเนอเรชั่นจึงมี "โรค" เฉพาะตัว ที่ไม่แน่ว่าใครบางคน
กำลังตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี้อยู่
เรื่องนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพมีข้อมูลความเสี่ยงใน "โรคฮิต"
ของแต่ละเจเนอเรชั่นมาบอกกล่าว
Gen B
มักเจอ 4 โรคยอดฮิต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง หลอดเลือดสมอง
"ความดันโลหิตสูง" คน ส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้
แต่ถ้าสังเกตดีๆ อาจมีอาการเหล่านี้ เสียงดังหวิวๆ ในหู
ได้ยินเสียงชีพจรเต้นในหัวตัวเอง เลือดกำเดาไหลบ่อย เวียนหัวเป็นประจำ
จนผิดสังเกต ใจสั่น หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ขาบวม หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลีย
"มะเร็ง" ที่พบได้บ่อยมากในคนไทย มีทั้งมะเร็งตับ มะเร็งปอด
มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก
สามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับบริเวณ มีทั้งให้ยา
เคมีบำบัด ฉายแสง และผ่าตัด
"โรคหลอดเลือดสมอง" หรือ "stroke" เกิดจากสมองขาดเลือด
เพราะเกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่นำอาหาร และออกซิเจน
ไปเลี้ยงสมอง ส่วนใหญ่จะเกิดแบบเฉียบพลัน มักมีอาการตาพร่ามัว
ปวดหัว วูบ แขนขาอ่อนแรงด้านใดด้านหนึ่ง พูด กลืนลำบาก
ทรงตัวไม่ดี หากถึงมือแพทย์ช้าอาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้
"โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน" หรือ "หัวใจขาดเลือด"
เกิดจากไขมันสะสมในเส้นเลือดแดงจนไม่สามารถนำเลือด
ไปเลี้ยงหัวใจได้ มีการเจ็บหน้าอก จุกแน่นลึกๆ บริเวณใต้กระดูกหน้าอก
หรือหน้าอกด้านซ้าย มักมีการเจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ซ้ายลงไป
ตามแขนซ้ายด้านใน หน้ามืด
ต้นเหตุของโรคร้ายนี้เกิดจากความ เครียด
อาหารที่รับประทานเข้าไป ชา กาแฟ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
พักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่ออกกำลังกาย
การดูแลป้องกัน คนเจเนอเรชั่นนี้ควรอย่าเครียด
หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดูแลการทานอาหาร
ให้ถูกหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงการทานอาหารหมักดอง
หรือไหม้เกรียม งดกินเค็ม เลี่ยงรสจัด ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
กินอาหารไขมันต่ำ ทานผัก ผลไม้ ควบคุมความดันโลหิต พักผ่อนให้เพียงพอ
และอย่าลืมตรวจสุขภาพกายและหัวใจเป็นประจำ
Gen-X
วัยฉกรรจ์ที่กำลังอยู่ในช่วงการทำงานมักเสี่ยงกับการเป็นเบาหวาน
ปวดหลัง และโรคกระเพาะ
"เบาหวาน" เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานเข้า
หลอดเลือดจะถูกทำลาย และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
"ปวดหลัง" พบมากในคนที่ทำงาน แม้จะไม่อันตราย
ร้ายแรงถึงชีวิต แต่อาจเกิดอาการเรื้อรัง
"โรคกระเพาะ" มักเกิดกับคนที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา
เคร่งเครียดจนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา
สูบบุหรี่อย่างหนัก มักจะมีอาการปวดท้องกะทันหัน หรือปวดก่อน-หลัง
รับประทานอาหารก็ได้ อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
การดูแลป้องกัน ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ย่อยง่าย
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดอง และแอลกอฮอล์ทุกชนิด
หมั่นบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง ฝึกการนั่งให้ถูกท่า เลี่ยงการ
ใส่รองเท้าส้นสูง ควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
Gen-Y
วัยสดใสที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน มักมีไมเกรน กรดไหลย้อน
และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคยอดฮิต
"ไมเกรน" เกิดจากความผิดปกติในการขยายและหดตัว
ของหลอดเลือด มักจะปวดศีรษะข้างเดียว ปวดตุ้บๆ
จนทำงานไม่ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดได้จากความเครียด
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน มีหรือหมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ อ้วน และพันธุกรรม
โดยจะมีสิ่งที่กระตุ้นทำให้ปวดศีรษะได้แก่ แสงจ้า เย็นหรือร้อนจัด เสียงดัง
"กรดไหลย้อน" ภาวะที่กรดในกระเพาะไหลย้อนมาในหลอดอาหาร
ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร มีอาการเจ็บหน้าอก
มักเกิดกับผู้ที่กินอาหารไม่เป็นเวลา กินรสจัด เครียด และไม่ออกกำลังกาย
"กระเพาะปัสสาวะอักเสบ" โรคยอดฮิตของสาวๆ
เกิดจากการกลั้นปัสสาวะ หรือดื่มน้ำไม่พอ มักมีอาการปัสสาวะบ่อย
แต่น้อย ไม่สุด หรือกลั้นไม่อยู่ แสบ ขัด เจ็บตอนท้ายๆ เมื่อปัสสาวะ
บางรายอาจมีเลือดหรือขุ่น มีกลิ่น บางคนอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และอาเจียน
การดูแลป้องกัน ควรงดเครียด ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ทานอาหารรสจัด ดื่มน้ำมากๆ
อย่ากลั้นปัสสาวะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
Gen-Z
เจเนอเรชั่นรุ่นล่าสุด ที่มักมีสมาธิสั้น ภูมิแพ้ที่ผิวหนัง และหวัด มารุกราน
"สมาธิสั้น" เป็นความผิดปกติทางพฤติกรรมชนิดหนึ่งที่ไม่เหมาะสม
กับอายุและระดับพัฒนาการ มักเกิดขึ้นก่อนวัย 7 ปี โดยส่วนใหญ่
จะมีอาการสมาธิสั้น อยู่นิ่งไม่ได้ หุนหัน แพทย์สามารถรักษาได้โดยใช้ยา
ช่วยควบคุมจะทำให้เด็กสงบนิ่งได้มาก
"ภูมิแพ้ที่ผิวหนัง" เกิด ได้ 3 รูปแบบ ทั้งลมพิษ ผื่นขึ้นจากการสัมผัส
และผื่นขึ้นจากภูมิแพ้ จะมีอาการคันมาก ยิ่งได้การกระตุ้นจากเหงื่อ
ผ้าขนสัตว์ สบู่ บางรายอาจแพ้อาหาร อาจมีอาการเรื้อรัง
แต่ก็สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้
"ไข้หวัด" โรคยืนยงที่เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ระบาดได้ตลอดปี
แต่มักเกิดในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง สามารถติดต่อได้
จากคนหนึ่งไปถึงอีกคนหนึ่ง
การดูแลป้องกัน รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ
นอนหลับอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หากมีอาการผิดปกติทางด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะเป็นทางบุคลิกภาพ
ลักษณะ สุขภาพกาย ใจ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อป้องกันรักษากัน
ตั้งแต่ต้นๆ ก่อนที่จะสายเกินแก้
ขอบคุณข้อมูลนี้จากประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น